ซุปเปอร์ฯทั่วโลก มักจะเจอปัญหาเหมือนกัน นั่นก็คือการถูกบังคับให้ทิ้งอาหารที่ยังอยู่ในสภาพดีมากเมื่อหมดวัน และเหตุผลของการกระทำนี้ก็มักจะแตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นเพราะรูปลักษณ์ของอาหารที่ดูไม่สมบูรณ์แบบที่สุด และทำให้แบรนด์ของซุปเปอร์ดูเสื่อมลงได้ หรือบางทีเป็นเพราะใกล้วันหมดอายุเต็มที ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้ว อาหารเหล่านั้นยังทานได้และไม่ได้เป็นอันตรายใดๆ
ไม่ว่าจะเป็นด้วยเหตุผลได้ก็ตาม สุดทายแล้วนี่เป็นปัญหาที่ใหญ่มาก และเป็นปัญหาของเราทุกคน
มีการคำนวณเอาไว้คร่าวๆ ว่าถ้าหากขยะอาหารทั้งหมดเป็นพื้นที่ของประเทศหนึ่ง ก็จะมีจำนวนมากพอที่จะสร้างก๊าซเรือนกระจก เป็นอันดับที่ 3 ของโลกเลยนะคะ (รองลงมาจากประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศจีน) ซึ่งเป็นการคำนวณของทางองค์กรอาหารและเกษตรกรรม ของสหประชาชาติ ซึ่งก็หมายความว่า ขยะอาหารกำลังเป็นตัวหลักๆในการสร้างปัญหาของสภาวะอากาศ
ซึ่งดูเหมือนว่าคำตอบในการจัดการกับปัญหานี้ง่ายมาก แต่จะแก้ปัญหาจริงๆนั้นไม่ง่ายเท่าไหร่เลยค่ะ
การขายอาหารที่มีเหลือมักจะเป็นเรื่องที่ยากและใช้เวลามาก และปัญหาใหญ่ของซุปเปอร์ฯหลายที่ คือการหาองค์กรที่สามารถนำอาหารเหล่านี้ไปสร้างประโยชน์ได้ ส่วนองค์กรต่างๆที่ทำได้ ก็มักจะเจอกับปัญหาในการหาซุปเปอร์ฯที่ยอมบริจาคอาหารเหลือ และช่วยจัดการการส่งมอบอาหารเหล่านี้ให้
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า บิ๊กซี และมูลนิธิเอสโอเอส ได้ค้นพบการร่วมมือที่ดีที่สุด ซึ่งเป็นการร่วมมือกันระหว่างทั้งสอง โดยทางบิ๊กซีจะมีการบริจาคอาหารให้จากมากกว่า 20 สาขาในกรุงเทพฯ
มูลนิธิเอสโอเอส เป็นองค์กรที่ต้อสู้กับปัญหาขยะอาหาร และการขาดแคลนของอาหารในชุมชน พวกเขารับบริจาคอาหารที่จะต้องกลายไปเป็นขยะ และนำมาปรุงเป็นมื้ออาหารเพื่อชุมชนยากไร้ทั่วประเทศ
นอกจากการบริจาคอาหารแล้ว ทางบิ๊กซียังขอช่วยในการจัดการการรวบรวมอาหารเหล่านี้ ให้ง่ายต่อการมารับจากทางมูลนิธิอีกด้วยค่ะ
อย่าลืมเข้าไปกดติดตามเพจเฟสบุ๊ค และไอจีของทางมูลนิธิเอสโอเอส เพื่อคอยรับข่าวสารและติดตามสิ่งดีๆที่ทางมูลนิธิทำด้วยนะคะ