วันที่ 12 พฤศจิกายน นับว่าเป็นวันสุดท้ายของเหตุการณ์สำคัญที่หลายๆคนเชื่อว่า เป็นโอกาสสุดท้ายของโลกของเราที่จะจัดการกับ วิกฤติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ให้ยังเป็นที่ควบคุมได้
การประชุม COP26 นั้นไม่เหมือนกับการประชุมที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ผ่านๆมา เนื่องจากปีนี้เราได้มีภาวะฉุกเฉินพิเศษ ที่พวกเราคาดหวังให้ผู้นำระดับโลกทำอะไรสักเกี่ยวกับเรื่องนี้
หลังจากรายงานสรุปการประชุม COP26 ได้ปล่อยออกมาในวันที่ 12 พฤศจิกายนนั้น มันทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ผู้นำระดับโลกของพวกเราไม่ได้ทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย และไม่มีอะไรที่จะสรุปความล้มเหลวของการประชุมนี้ได้ดีไปกว่า ความยาวของคิวในห้องอาหารที่ผู้นำกำลังต่อ เพื่อรอรับอาหารจานเนื้อที่ปล่อยมลพิษสูง
Image Source: The Independant
ที่ร้านอาหารแต่ละร้านนั้นได้มีข้อมูลเกี่ยวก้บการปล่อยมลพิษของอาหารแต่ละจานระบุไว้ให้ผู้แทนแต่ละท่านได้ทราบ เมนูแฮกกิส (haggis) ซึ่งทำมาจากเครื่องในสัตว์ที่เคาน์เตอร์ของ Scottish Larder นั้นได้ระบุไว้ว่า อาหารจานนี้ปล่อยมลพิษจำนวน 3.4 กิโลกรัมต่อจาน ซึ่งส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมถึง 34 เท่า เมื่อเทียบกับเมนูสุขภาพที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการอย่างสตูว์ข้าวบาร์เลย์ (0.1 กิโลกรัมต่อจาน) ถึงอย่างนั้นเองยังมีผู้นำเป็นพันๆ ผู้ซึ่งทำงานเพื่อแก้ไขวิกฤตสภาพภูมิอากาศโดยตรง ยังคงเลือกทานอาหารที่ทำลายสภาพอากาศจานนี้!
ถึงแม้ว่า 25% ของการปล่อยมลพิษทั้งหมดนั้นจะมาจากโครงสร้างระบบอาหารของเรา แต่ปัญหานี้กลับถูกกล่าวถึงเป็นเพียงแค่ 0.1 เปอร์เซ็นของหารือทั้งหมดในการประชุม COP26 นี้
ผลงานวิจัยซึ่งถูกตีพิมพ์ในเมืองกลาสโกว์เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นว่าอุณหภูมิกำลังจะสูงขึ้นอีก 2.4 องศาเซลเซียสภายในสิ้นศตวรรษนี้ โดยผลงานวิจัยนี้ได้อ้างอิงจากเป้าหมายระยะสั้นที่แต่ละประเทศได้ตั้งไว้ในการประชุม COP26
ซึ่งอุณหภูมิที่กำลังจะเพิ่มขึ้นมานั้นจะเกินขีดจำกัดอุณหภูมิเฉลี่ยพื้นผิวโลกที่เคยตั้งไว้ที่ไม่ให้เพิ่มเกิน 2 องศาเซลเซียส ตาม“ความตกลงปารีส” (Paris Agreement) และตั้งเป้าไว้ว่าจะปลอดภัยยิ่งกว่าที่ขีดจำกัด 1.5 องศาเซลเซียส ตามการสนทนาในการประชุม COP26
ซึ่งในระดับนั้น สภาพอากาศสุดขั้วจะแผ่ขยายไปโดยรอบ เช่น ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น ความแห้งแล้ง น้ำท่วม คลื่นความร้อน และพายุที่รุนแรงขึ้น และจะทำให้เกิดความหายนะไปทั่วโลก
Image Source: AL Jazeera [Henry Nicholls/Reuters]
แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่มีทางแก้ไปซะทีเดียว เพียงแค่ไม่มีใครที่อยากจะพูดถึงมัน
รัฐบาลหลายแห่งทั่วโลกได้มีการลงทุนและมีความเกี่ยวพันกับธุรกิจปศุสัตว์ ซึ่งการร้องขอให้ผู้นำระดับโลกแก้ไขปัญหาการทำปศุสัตว์นั้น ก็คล้ายกับการขอให้ผู้ผลิตพลาสติกลงนามในร่างกฎหมายเพื่อห้ามการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง
Image Source: Plant-Based News
ปัญญาใหญ่ๆที่มีผลกระทบต่อวิกฤติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างมากที่สุดคือการปล่อยก๊าซคาร์บอน การปล่อยก๊าซมีเทน การตัดไม้ทำลายป่า และเดดโซนหรือ “พื้นที่มรณะ” ในมหาสมุทร ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นปัญหาที่ได้รับผลกระทบอย่างมากจากการเลือกรับประทานอาหารของเรา
- การผลิตสินค้าและผลิตภัณฑ์จากการทำปศุสัตว์นั้น ปล่อยคาร์บอน
- การเลี้ยงปศุสัตว์นั้น ปล่อยก๊าซมีเทน
- เศษอาหารที่ถูกทิ้งอย่างผิดวิธีนั้น ปล่อยก๊าซมีเทน
- การนำเข้าอาหารจากต่างประเทศนั้น ปล่อยก๊าซมีเทน
- ฟาร์มที่เลี้ยงปศุสัตว์แบบปล่อยนั้น ก่อให้เกิดการตัดไม้ทำลายป่าซึ่งเป็นการลดการดูดซึมคาร์บอน (และต้นไม้ที่ถูกตัดเหล่านี้ มักนำไปสู่การปล่อยคาร์บอนเมื่อถูกเผาหรือปล่อยให้เน่า)
- การปลูกพืชเพื่อใช้ในการเลี้ยงปศุสัตว์นั้น ก่อให้เกิดการตัดไม้ทำลายป่าซึ่งเป็นการลดการดูดซึมคาร์บอน (และต้นไม้ที่ถูกตัดเหล่านี้ มักนำไปสู่การปล่อยคาร์บอนเมื่อถูกเผาหรือปล่อยให้เน่า)
- การจับปลามากเกินไปนั้น ทำให้เกิดเดดโซนหรือ “พื้นที่มรณะ” ในมหาสมุทรในมหาสมุทร
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่น่าผิดหวังและท้อแท้ที่การทำปศุสัตว์นั้นไม่ได้ถูกกล่าวถึงอย่างเหมาะสมในการประชุม COP26 แต่ข่าวดีนั้นคือว่าเรายังสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงทางตรงผ่านการเลือกอาหาในแต่ละวันของเรา
และนี่คือสิ่งที่พวกเราสามารถทำได้ที่จะชดเชยสำหรับความล้มเหลวของการประชุม COP26
- กินพืชเป็นหลัก – หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์จากสัตว์ (รวมถึงผลิตภัณฑ์จากนมและไข่) ให้มากที่สุด และตั้งเป้าที่จะรับประทานอาหารแพนต์เบสเป็นหลัก 100%
- กินผลิตผลที่มาจากท้องถิ่น (แต่อย่าลืมว่าการกินผลิตภัณฑ์จากพืชที่นำเข้า ยังดีสำหรับโลกมากกว่าผลิตภัณฑ์จากสัตว์ที่มาจากท้องถิ่น)
- ไม่ทิ้งอาหาร! กินของเหลือของคุณเสมอ! จัดระเบียบตู้เย็นของคุณเพื่อให้คุณกินอาหารที่จะเสียหรือหมดอายุก่อน และแช่แข็งสิ่งที่คุณยังไม่สามารถกินได้ทันที
- หมักเศษอาหารของคุณให้กลายเป็นปุ๋ย อย่าทิ้งเปลือกและเศษอาหารลงในถังขยะ ขยะอินทรีย์จะไม่ย่อยสลายอย่างสมบูรณ์ในบ่อฝังกลบ อีกทั้งจะเริ่มผลิตก๊าซมีเทนเมื่อไม่ได้ถูกหมักให้ถูกวิธี
- กินผลิตผลอินทรีย์และปลอดสารพิษ (ออร์แกนิก) ผลิตผลออร์แกนิกนั้นช่วยควบคุมหน้าดินไม่ให้เกิดการกลายสภาพเป็นทะเลทรายของดิน (การกลายสภาพเป็นทะเลทรายของดินหมายถึงการกักเก็บคาร์บอนน้อยลง) แต่จำไว้ว่าควรเลือกอาหารจากพืชที่ไม่ออร์แกนิกก่อนอาหารออร์แกนิกจากสัตว์เสมอ!